โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องปกติ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีการแพร่ระบาดเป็นประจำทุกปี ด้วยอาการไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เป็นต้น ซึ่งเราก็สามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ให้หายเองได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ รวมถึงการป้องกันโรดนี้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และการดูแลสุขอนามัย เช่น การล้างมือบ่อย ๆ การสวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น
อาการของไข้หวัดใหญ่ เกิดจากอะไร?
อาการไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งในสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัด โดยสาเหตุของไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์หลัก ๆ ในการแพร่ระบาด คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์B ในแต่ละสายพันธุ์จะมีการแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ อีกด้วย
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ B มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโปรตีนบนผิวเซลล์ของไวรัส (hemagglutinin และ neuraminidase) ทำให้ไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รวมถึงอาการไข้หวัดใหญ่ด้วย นี่คือเหตุผลของการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปี จึงจำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนใหม่อย่างเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังระบาดในช่วงเวลานั้น ๆ นอกจากนี้ ยังมีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C แต่ยังไม่รุนแรงเท่ากับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ B แต่มักพบปัญหาทางเดินหายใจได้ด้วย
อาการไข้หวัดใหญ่ เกิดจากการแพร่เชื้อของไวรัสไข้หวัดใหญ่ผ่านการหายใจ เมื่อมีการไอ จาม หรือพูดคุย นอกจากนี้ อาจแพร่เชื้อผ่านการสัมผัส โดยปกติ ไข้หวัดใหญ่มักจะแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาว หากเราหมั่นดูแลสุขภาพก็สามารถหลีกเลี่ยงโรคไข้หวัดใหญ่ได้
อาการไข้หวัดใหญ่
อาการไข้หวัดใหญ่ เราสามารถแบ่งได้หลายอาการ โดยเรียงตามลำดับของการเกิด ดังนี้
- เริ่มแรกจะมีไข้ อาจจะมีไข้สูงขึ้นกว่า 38 องศาเซลเซียส โดยบางครั้ง อาจจะเป็นไข้สูงอย่างเฉียบพลัน ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยได้
- มีอาการไอ ทั้งไอแห้งหรือไอมีเสมหะ เสียงเครือระหว่างการหายใจ โดยส่งผลกับทางเดินหายใจ
- อาการไข้หวัดใหญ่ลำดับถัดมา คือ อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ทำให้เสียงแสบเสียงหนักเมื่อพูด
- อาการเจ็บคอ หรืออาการปวดเมื่อกลืน
- บางครั้งอาจมีอาการแสบตา หรือตาแดง
- อาจจะมีอาการหายใจเร็ว หายใจเข้าลึกและเร็วขึ้น
- มีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือปวดข้อ เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย
- ในบางครั้ง อาการไข้หวัดใหญ่ก็อาจจะมีอาการท้องแสบ แน่น อาเจียน หรือท้องเสีย
โดยปกติแล้ว อาการไข้หวัดใหญ่มักแสดงอาการอย่างรวดเร็ว สามารถหายได้เองภายใน 1 – 2 สัปดาห์ หรืออาจจะนานกว่านี้ในบางรายหรือผู้มีสุขภาพอ่อนแอ
อาการภาวะแทรกซ้อนหลังจากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
หลังจากที่เราติดเชื้อ และมีอาการไข้หวัดใหญ่แล้ว บางรายก็อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้ (Influenza complications) ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งในกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มทั่วไป อีกทั้งการเกิดภาวะแทรกซ้อนอาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการติดเชื้อหรือหลังจากการติดเชื้อก็เป็นได้ โดยภาวะแทรกซ้อน ได้แก่
- ปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นหนึ่งในอาการไข้หวัดใหญ่ที่เด่นชัด เมื่อเชื้อโรคลงไปที่ปอด อาจทำให้เกิดอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก ไข้สูง เป็นอันตรายได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว
- หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ทำให้เกิดอาการไอเป็นเวลานาน น้ำมูกสีเขียวหรือสีเหลือง และมีเสมหะมาก ก็เป็นอาการไข้หวัดใหญ่ที่พบได้บ่อย
- ภาวะทางเดินหายใจต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure, CPAP) ในกรณีปอดอักเสบและหลอดลมอักเสบรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้เครื่อง CPAP เพื่อช่วยให้การหายใจเรียบร้อยขึ้น
- หัวใจอักเสบ (Myocarditis) เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก อ่อนเพลีย อาจทำให้เกิดการทำงานของหัวใจผิดระบบ
- หัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ในอาการไข้หวัดใหญ่นั้น หากเกิดภาวะหัวใจอักเสบ อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
- ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง เกิดอาการเจ็บหัว วิงเวียน ชา หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท
- ภาวะแทรกซ้อนทางกระดูกในอาการไข้หวัดใหญ่ จะเกิดอาการปวดเมื่อกลืน ปวดเมื่อหมุนหัว หรือปวดเมื่อเคลื่อนไหว
เมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่แล้ว เราควรระวังภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ เพราะยิ่งเข้ารับการรักษาเร็ว เราก็จะมีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
วิธีรักษาอาการไข้หวัดใหญ่
หลายคนกำลังมองหาวิธีการรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว การรักษาอาการไข้หวัดใหญ่มักเน้นการบรรเทาอาการ การพักผ่อนร่างกายให้เพียงพอ ก็จะหายได้เองภายใน 1 – 2 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าพบแพทย์ ด้วยวิธีรักษา ดังนี้
- ให้ร่างกายพักผ่อน นอนหลับอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น การนอนเพียงพอจะช่วยลดอาการอ่อนเพลีย เร่งการฟื้นตัวจากอาการไข้หวัดใหญ่ได้
- รับประทานน้ำให้ได้ตามปริมาณต่อวัน เพราะการดื่มน้ำมากช่วยในการรักษาการความชื้นในร่างกาย ป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีไข้
- ควรรับประทานอาหารเหมาะสม บำรุงร่างกาย ให้พลังงานทดแทน เพื่อลดอาการไข้หวัดใหญ่
- ลดอาการไข้หวัดใหญ่ อาการปวด โดยใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบรูโฟเนียน (Ibuprofen) แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ในเด็กเล็ก เนื่องจากอาจเป็นสาเหตุของภาวะโรคเรื้อรังต่อหัวใจ
- ปิดปาก จมูก เมื่อไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และอาการไข้หวัดใหญ่ไปสู่ผู้อื่น
- ควรอยู่ห่างจากผู้อื่นเมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือกับตา จมูก หรือปาก ควรใช้หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ผู้อื่น
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
โรคไข้หวัดใหญ่สามารถเป็นกันได้ง่าย ๆ ยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดหนัก ๆ หากแต่เราก็สามารถดูแลตัวเอง ป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ เพื่อเลี่ยงอาการไข้หวัดใหญ่ต่าง ๆ ดังนี้
1. ล้างมือบ่อย ๆ
อาการไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายด้วยการหยิบจับสิ่งที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน ดังนั้น การล้างมือบ่อย ๆ คือ การล้างสิ่งสกปรก เชื้อโรคออกจากมือของเรา โดยใช้น้ำ สบู่ หรือแอลกอฮอล์ หลังการสัมผัสสิ่งของที่อาจมีเชื้อโรค เช่น ก่อนรับประทานอาหาร หลังจากการไปในบริเวณคนหนาแน่น เป็นต้น
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก และปาก
เพราะเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ ผ่านตา จมูก ปาก ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เรายังไม่ได้ล้างมือ ด้วยน้ำ สบู่ หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งเสี่ยงจะทำให้เรามีอาการไข้หวัดใหญ่
3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็น
ในสถานการณ์เชื้อโรคไข้หวัดใหญ่แพร่ระบาด แล้วเราจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนหนาแน่น หรือบริเวณที่แออัด มีผู้คนอยู่จำนวนมาก ก็ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโรค หากหน้ากากอนามัยมีการปนเปื้อนหรือเปียกชื้น ก็ควรจะเปลี่ยนชิ้นใหม่ทันที
อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ก็ยังมีอีกหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้ครบตามปริมาณที่ต้องการต่อวัน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการไข้หวัดใหญ่แล้ว
วัคซีนป้องกันไข้หวัดจำเป็นต้องฉีดทุกปีไหม ?
โรคไข้หวัดใหญ่มีหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์หลักอย่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์B ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น ในแต่ละปี จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวัคซีนใหม่เป็นประจำ เพื่อให้ครอบคลุมสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่กำลังแพร่ระบาดในช่วงเวลานั้น
ซึ่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีประโยชน์ในการป้องกันโรค ลดความรุนแรงของอาการไข้หวัดใหญ่เมื่อติดเชื้อ สำหรับกลุ่มมีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
แต่ทั้งนี้ ความจำเป็นในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเสี่ยงในแต่ละปี รวมถึงการตัดสินใจฉีดวัคซีนก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล เราควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความเสี่ยงว่า เราควรจะฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในปีนั้นหรือไม่ แม้ว่า เราจะไม่ได้ฉีด แต่เราก็สามารถลดความเสี่ยงการเกิดอาการไข้หวัดใหญ่ได้ด้วยรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก ปาก สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็น เป็นต้น
สรุป
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง โดยมีสายพันธุ์หลัก ๆ คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ B เกิดจากการแพร่เชื้อผ่านการหายใจ เมื่อมีการไอ จาม หรือพูดคุย ซึ่งอาการไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ในบางรายก็อาจจะมีอาการรุนแรงขึ้น จำเป็นต้องไปพบแพทย์ เพื่อลดความรุนแรง รวมถึงโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่เราก็สามารถดูแลให้หายได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ อีกทั้งการดูแลสุขอนามัย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากอนามัยก็จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการไข้หวัดใหญ่ได้