Line chat

โรคแพนิค อาการตื่นตระหนกอย่างสุดขีด ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

โรคแพนิค ตื่นตระหนก

ความวิตกกังวล หมายถึง ภาวะที่รู้สึกไม่สุขสบายหรือหวาดกลัว วิตก ตึงเครียด กังวล ซึ่งเป็น

ความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้หรือคาดการณ์ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น หรือความไม่แน่นอนของสิ่งที่มา

คุกคามต่อความรู้สึกของตนเอง หากยังคงมีความวิตกกังวลเป็นระยะนาน อาจจะส่งผลทำให้เกิดโรคแพนิคได้

โรคแพนิค ถือได้ว่าเป็นโรคที่ใครหลายคนไม่รู้ว่าตนเองกำลังเป็นโรคแพนิคอยู่ เพราะอาการของโรคแพนิคมีความคล้ายกับความกลัว ความวิตกกังวล เหมือนอาการของคนทั่วไป และโรคแพนิคจะไม่อันตรายแต่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก

อาการโรคแพนิค ภัยเงียบที่อาจส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

สำหรับอาการโรคแพนิค คุณสามารถสังเกตอาการตัวเองได้ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยไม่คาดคิด และอาจรุนแรงจนทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อาการโรคแพนิคอาจเกิดขึ้นได้ครั้งเดียว หรือซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง

อาการทางกายภาพ

  • ใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม 
  • เหงื่อออกมาก 
  • คลื่นไส้ อาเจียน 
  • ร้อนวูบวาบหรือรู้สึกหนาวสั่น
  • มีอาการชาหรือเกร็งที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นต้น
  • เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
  • มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ

อาการทางอารมณ์

  • มีความหวาดกลัวอย่างรุนแรง 
  • กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าจะสติแตก
  • กลัวจนไปถึงขั้นว่าตัวเองกำลังจะตาย

สาเหตุของโรคแพนิค

สาเหตุของโรคแพนิคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม 

ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคแพนิคมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูก ประมาณ 20% ของผู้ป่วยโรคแพนิคมีประวัติครอบครัวเป็นโรควิตกกังวล ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) ซึ่งสารสื่อประสาทเหล่านี้มีหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความวิตกกังวล และพฤติกรรม

ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิค ได้แก่

  • ความเครียด ความเครียดสะสมจากการทำงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว อาจทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ
  • การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การใช้ชีวิตที่เร่งรีบและพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพนิค 
  • เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสียบุคคลในครอบครัวอันเป็นที่รัก การถูกทำร้าย หรือประสบอุบัติเหตุ อาจทำให้เกิดโรคแพนิคได้
  • สารเสพติด การใช้สารเสพติดบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือกัญชา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแพนิคได้เช่นกัน

หากคุณเกิดขึ้นสงสัยกับตัวเอง หรือพบเห็นคนใกล้ตัวที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคแพนิค คุณสามารถประเมินอาการที่แสดงออกมา พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือโรคแพนิคซึมเศร้าแบบทดสอบได้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตออนไลน์ได้

การวินิจฉัยโรคแพนิค มีเกณฑ์จากอะไรบ้าง

panic attack คือ อาการหนึ่งของโรคแพนิค ผู้ป่วยโรคแพนิคมักมีอาการ panic attack ซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยไม่คาดคิด และอาจรุนแรง ซึ่งการวินิจฉัยโรคแพนิคสามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช โดยพิจารณาจากอาการและประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ตามเกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิคตาม DSM-5 (เป็นคู่มือวินิจฉัยอาการทางจิตเวชฉบับ ปี พ.ศ. 2556) ผู้ป่วยจะต้องมีอาการ panic attack อย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยอาการ panic attack จะต้องประกอบด้วยอาการทางกายภาพอย่างน้อย 4 ใน 13 ของอาการดังต่อไปนี้

  1. ใจสั่น ใจเต้นแรงและเร็วมาก
  2. มีเหงื่อมาก
  3. ตัวสั่น มือเท้าสั่น
  4. หายใจไม่อิ่ม หรือ หายใจขัด
  5. รู้สึกอึดอัด หรือแน่นจุกอยู่ข้างใน
  6. มีความรู้สึกจะสำลัก
  7. คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง
  8. เวียนศีรษะ หน้ามืด รู้สึกเหมือนเป็นลม
  9. ชา หรือรู้สึกเหมือนมีเข็มแทง
  10. รู้สึกร้อนวูบวาบ หรือหนาวสั่น
  11. รู้สึกไม่เป็นตัวเอง 
  12. กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ สติแตก
  13. กลัวว่าตนจะตาย

และอีกหนึ่งเกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิคตาม DSM-5 ระบุไว้ว่าผู้ป่วยจะต้องมีอาการแพนิคแอทแท็ค อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และจะมีอาการอย่างน้อย 1 ใน 2 ข้อ อย่างน้อย 1 เดือน ดังนี้

  1. กังวล มักรู้สึกกังวลและกลัวว่าจะเกิดอาการแพนิคซ้ำอีก โดยอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่คิดว่าอาจทำให้เกิดอาการแพนิคได้
  2. มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ผู้ป่วยมักหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่คิดว่าอาจทำให้เกิดอาการแพนิคซ้ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วยได้ เช่น ผู้ป่วยอาจไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าไปทำงาน หรือไม่อยากไปพบปะผู้คน เป็นต้น

หากผู้ป่วยมีอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัยของโรคแพนิค แพทย์จะพิจารณาให้ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการโรคแพนิค และนำไปสู่ขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสม

การรักษาโรคแพนิค ทำได้อย่างไรบ้าง

โรคแพนิครักษาอย่างไร

โรคแพนิค หรือโรคตื่นตระหนก ผู้ป่วยมักจะมีภาวะวิตกกังวลที่รุนแรง เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมที่แสดงอาการออกมาทางร่างกาย และทางจิตใจหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ใจสั่น หายใจหอบ เหงื่อออก คลื่นไส้ เวียนศีรษะ กลัวตาย และกลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการรักษาโรคแพนิคที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีที่รักษามีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ รักษาโรคแพนิคด้วยจิตบำบัด และรักษาโรคแพนิคด้วยยา ซึ่งแต่ละวิธีจะขึ้นดุลพินิจของแพทย์ที่รักษาว่าวิธีไหนที่จะเหมาะสมกับผู้ป่วยขึ้นอยู่ความรุนแรงของอาการ 

รักษาโรคแพนิคด้วยจิตบำบัด

เป็นวิธีรักษาที่มุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนความคิด และพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล โดยมุ่งหวังให้ผู้ป่วยสามารถเข้าใจ และจัดการแก้อาการแพนิค ความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น

  • ปรับเปลี่ยนความคิด แพทย์ หรือนักจิตบำบัดจะให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิคจะได้เรียนรู้วิธีที่จะเตือนสติให้อยู่กับตัวเองและท้าทายความคิดเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล เช่น ความคิดที่ว่า ฉันกำลังจะตาย หรือ จริง ๆ แล้วฉันควบคุมตัวเองไม่ได้
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิคจะได้เรียนรู้วิธีที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์หรือสิ่งเร้าที่กระตุ้นทำให้เกิดความตื่นตระหนก ความวิตกกังวล ความกลัว โดยการฝึกฝนเทคนิคการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • ฝึกผ่อนคลาย ผู้ป่วยจะได้ฝึกเทคนิคการผ่อนคลายต่างๆ เช่น หายใจลึก ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การสมาธิ เพื่อช่วยให้อาการทางร่างกายที่เกิดจากความวิตกกังวลบรรเทาลง 

รักษาโรคแพนิคด้วยจิตบำบัดจะใช้ระยะเวลารักษาที่ค่อนข้างนานโดยประมาณ 12 – 16 สัปดาห์ โดยจะให้ผู้ป่วยเข้ามารักษาสัปดาห์ละ 1 ถึง 2 ครั้ง วิธีรักษาจะเริ่มต้นด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคแพนิคและแนวทางรักษา จากนั้นจึงค่อย ๆ เข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้และฝึกฝนเทคนิคต่าง ๆ ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด

รักษาโรคแพนิคด้วยยา

เป็นวิธีรักษาที่มุ่งเน้นไปที่การลดอาการทางกาย และจิตใจที่เกิดจากโรคแพนิค โดยการใช้ยารักษาโรคแพนิคที่มีฤทธิ์ในการปรับเปลี่ยนการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง โดยยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิค ได้แก่

  • ยาในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วช่วยบรรเทาอาการทางกาย และจิตใจที่เกิดจากโรคแพนิค เช่น ใจสั่น หายใจติดขัด เหงื่อไหลออกตามร่างกายมากเกินผิดปกติ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ กลัวตาย กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นต้น 
  • ยาในกลุ่ม SSRI (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) และ SNRI (Serotonin-Norepinephrine Reuptake Inhibitors) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ช้ากว่ายาในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน แต่สามารถรักษาโรคแพนิคแต่จะเน้นรักษาในระยะยาวจะช่วยเพิ่มระดับสารสื่อประสาทมีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ และความวิตกกังวล

วิธีรักษาโรคแพนิคด้วยยามักใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน โดยผู้ป่วยโรคแพนิคจะรับประทานยาอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของแพทย์ แพทย์จะปรับขนาดยาและระยะเวลาในการรับประทานยาให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยโรคแพนิค

ควรรักษาโรคแพนิครักษาที่ไหนดี

โรคแพนิครักษาที่ไหนดี? ตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่า คุณต้องรักษากับแพทย์ที่โรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ตั้งแต่การตรวจเช็คอาการ วินิจฉัยโรค และการรักษา ซึ่งแต่ละโรคพยาบาลจะมีวิธีการรักษาด้วยทั้ง 2 วิธีหลักเลย คือ รักษาโรคแพนิคด้วยจิตบำบัดเพื่อปรับเปลี่ยนความคิด รวมถึงพฤติกรรมใหม่ และส่วนของด้วยการทานยายากลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) กับกลุ่มยาคลายกังวล Benzodiazepines โดยการรักษาต้องควบคู่กันทั้งสองวิธี 

สรุปโรคแพนิค ตื่นตระหนกอย่างฉับพลัน

โรคแพนิค คือเป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่งที่มีลักษณะเกิดอาการตื่นตระหนกอย่างกระทันหัน หากพบว่าตนเองมีความสุ่มเสี่ยง มีอาการของโรคแพนิค ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง การรักษาโรคแพนิคสามารถทำได้ด้วยยาหรือจิตบำบัด การรักษาด้วยยาจะช่วยให้อาการทางกายภาพและอารมณ์ดีขึ้น ส่วนการรักษาด้วยจิตบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสาเหตุของโรคและเรียนรู้วิธีรับมือกับอาการได้อย่างถูกต้อง