หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นตุ่มเล็ก ๆ แข็ง ๆ บนผิวหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตาและแก้ม ที่แม้จะบีบยังไงก็ไม่ยอมหายไปไหน ตุ่มเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตันทั่วไป แต่เป็นก้อนซีสต์ขนาดเล็กใต้ผิวหนังที่เรียกว่า “สิวหิน” แม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อมีสิวหินขึ้นบริเวณใบหน้า แน่นอนว่าหลายคนกลับไม่สบาย เพราะสิวดังกล่าวทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน โดยเฉพาะเมื่อต้องแต่งหน้าสวย ๆ แล้วเนื้อรองพื้นไม่เรียบแนบไปกับผิว
แล้วสงสัยไหมว่าสิวหินเกิดจากอะไร และทำไมบางคนถึงเป็นสิวหินมากกว่าคนอื่น ๆ หรือใครที่กำลังมองหาวิธีรักษาและป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำ จะทำอย่างไรได้บ้าง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุที่แท้จริงของสิวหิน พร้อมทั้งวิธีกำจัดสิวหินอย่างถูกต้องและปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งการบีบหรือเลเซอร์เสมอไป เพราะบางครั้งการดูแลผิวอย่างถูกวิธีก็ช่วยให้ปัญหานี้หายไปเองได้
รู้จักกับสิวหินเกิดจากอะไร มีลักษณะแบบไหน?
สิวหิน คือ สิวตุ่มเล็ก ๆ เมื่อสัมผัสแล้วจะมีลักษณะแข็ง ๆ สีขาวหรือเหลืองอ่อนที่เกิดจากเคราตินสะสมใต้ผิวหนัง หรือบางครั้งอาจเกิดจากเนื้องอกของท่อเหงื่อหรือต่อมเหงื่อ แม้ว่าสิวหินจะไม่ใช่เนื้อร้ายหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่กลับสร้างความรำคาญใจให้หลายคน เนื่องจากเป็นสิวที่ไม่สามารถบีบออกได้เอง และมักใช้เวลานานหลายปี หรืออาจนานเป็นสิบ ๆ ปี กว่าจะหายไปเองตามธรรมชาติ
สิวหินมักพบได้รอบดวงตา แก้ม และหน้าผาก โดยไม่ทำให้เกิดการอักเสบหรือเจ็บปวด สิวหินมีสาเหตุจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติ ทำให้เคราตินติดค้างและก่อตัวเป็นซีสต์เล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น พันธุกรรม, การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสม, การโดนแดดมากเกินไป, หรือการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผิว เป็นต้น
สงสัยกันไหม “สิวหิน VS สิวข้าวสาร” แตกต่างกันอย่างไร?
แน่นอนว่าหลายคนมักสับสนระหว่าง “สิวหิน และ สิวข้าวสาร” เพราะทั้งสองชนิดมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สิวหินเกิดจากเคราตินหรือโปรตีนสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง มักพบตามรอบดวงตา แก้ม หรือหน้าผาก ลักษณะของสิวหินคือเป็นตุ่มแข็ง ไม่สามารถบีบออกได้ และใช้เวลานานหลายปีจึงจะค่อย ๆ หายไปตามธรรมชาติ แต่ในกรณีที่ไม่หายไปเอง อาจต้องให้แพทย์ใช้วิธีเลเซอร์หรือจี้ออก
ส่วนสิวข้าวสาร (Closed Comedone หรือ Whiteheads) เป็นสิวอุดตันประเภทหนึ่งที่เกิดจากการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน มักเกิดขึ้นบริเวณทีโซน (T-Zone) เช่น หน้าผาก จมูก และคาง สิวข้าวสารมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวเช่นกัน แต่มีหัวสิวและในอนาคตมารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ หากเกิดการสกปรก ติดเชื้อ ต่างจากสิวหินที่ไม่มีหัวและไม่อักเสบ อย่างไรก็ตาม สิวข้าวสารสามารถรักษาได้ง่ายกว่าสิวหิน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือกรดวิตามินเอ (Retinoids) ร่วมกับการดูแลความสะอาดของผิวหน้าควบคู่กันไป
สิวหิน มักขึ้นบริเวณใดบ้าง?
สิวหินสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายจุดของร่างกาย มักพบได้บ่อยในบริเวณที่มีผิวบอบบางและต่อมเหงื่ออยู่หนาแน่น โดยบริเวณที่มักเกิดสิวหิน ได้แก่
- รอบดวงตา เป็นจุดที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากผิวบริเวณนี้บางและอ่อนโยน ทำให้เคราตินสะสมได้ง่าย จึงเกิดเป็นสิวหินใต้ตาขึ้นนั่นเอง
- แก้ม โดยสิวหินบริเวณแก้มอาจเกิดจากการใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสม หรือการระคายเคืองจากเครื่องสำอาง
- หน้าผาก สิวหินบริเวณหน้าผากนั้นสามารถพบได้ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมันหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่อุดตันรูขุมขน
- จมูกและคาง แม้จะพบได้น้อยกว่าบริเวณอื่น แต่สิวหินสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะจากการใช้ครีมกันแดดหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- หลัง หรือลำตัว ในบางกรณีสิวหินอาจเกิดขึ้นบริเวณหลังและหน้าอก โดยมักจะเกิดจากการเสียดสีหรือการอุดตันของผิว
รวมวิธีป้องกันสิวหิน ที่ปฏิบัติตามได้ไม่ยาก!
แม้ว่าสิวหินจะเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติและปัจจัยทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดโอกาสการเกิดสิวหินได้ด้วยการดูแลผิวอย่างถูกวิธี โดยการป้องกันสิวหินที่ทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้ไม่ยาก มีดังต่อไปนี้
- ทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ แนะนำว่าควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะก่อนนอน เพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และเครื่องสำอางที่อาจอุดตันรูขุมขน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือสารระคายเคือง เพื่อไม่ให้ผิวแห้งตึงจนเกินไป
- ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรด AHA หรือ BHA สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ลดโอกาสที่เคราตินจะสะสมใต้ผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวแรง ๆ หรือใช้สครับที่มีเม็ดบีดส์แข็งเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดสิวหินมากขึ้น
- เลือกใช้สกินแคร์ที่ไม่อุดตันผิว หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักหรืออุดตันง่าย (Non-Comedogenic) เช่น ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของน้ำมันหนัก ๆ หรือซิลิโคน ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ซึมซาบเร็วและช่วยปรับสมดุลความชุ่มชื้นของผิว หากมีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยลดความมันและเสริมความแข็งแรงให้กับผิว
- ปกป้องผิวให้ห่างไกลจากแสงแดด โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวเป็นประจำทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่ม เพราะรังสี UV สามารถทำให้ผิวหนาขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดสิวหินได้ โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ ขึ้นไป และไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน เช่น น้ำมันหรือซิลิโคน
- หลีกเลี่ยงการบีบหรือขัดถูผิวแรง ๆ การพยายามบีบสิวหินด้วยตัวเองอาจทำให้ผิวระคายเคือง เกิดแผล หรือกระตุ้นให้เกิดสิวหินเพิ่มขึ้น ควรปล่อยให้หายไปเองหรือพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาสิวหินด้วยวิธีที่ปลอดภัย เช่น การจี้ออกหรือเลเซอร์
- เลือก Make-up ที่แต่งแล้วเบาสบายผิว โดยหลีกเลี่ยงรองพื้นหรือแป้งที่อุดตันรูขุมขน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันซึ่งอาจกระตุ้นการสะสมของเคราติน ควรเลือกใช้รองพื้นสูตรน้ำหรือสูตรบางเบาที่ช่วยให้ผิวหายใจได้ และทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
- ดูแลสุขภาพผิวให้สุขภาพจากภายใน การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามิน C และ E ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดการเกิดปัญหาผิว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป
สิวหินไม่ใช่เรื่องใหญ่ หายได้ เพียงดูแลผิวให้ถูกวิธี
ตุ่มเล็ก ๆ แข็ง ๆ ใต้ผิวหนังอย่างสิวหินที่เกิดจากการสะสมของเคราติน มักพบบริเวณรอบดวงตา แก้ม และหน้าผาก แม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและแต่งหน้ายาก ต่างจากสิวข้าวสารที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและอาจพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้ ปัญหาผิวชนิดนี้ไม่สามารถบีบออกได้เองและมักต้องใช้เวลาหลายปีในการสลายตัว หรืออาจต้องรักษาด้วยเลเซอร์และวิธีทางการแพทย์
การป้องกันสิวหินสามารถทำได้โดยการดูแลผิวอย่างถูกวิธี เช่น ล้างหน้าให้สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่อุดตันผิว รวมถึงปกป้องผิวจากแสงแดด นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการบีบหรือขัดถูผิวแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและการดูแลสุขภาพผิวจากภายในจะช่วยลดโอกาสการเกิดและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น