หลายคนอาจพบกับปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกเพศทุกวัยอีกด้วย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมน พันธุกรรม อายุที่มากขึ้น หรือแม้กระทั่งเป็นสาเหตุมาจากแชมพูที่คุณใช้สระผมอยู่ในทุก ๆ วัน ซึ่งปัญหาผมร่วง ผมบางนั้นก็อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ โดยคุณอาจสูญเสียความมั่นใจ และต้องคอยปกปิดปัญหาผมร่วงในทุก ๆ วัน
ซึ่งปัญหาผมร่วง ผมบางหรือศรีษะล้านนั้น ก็สามารถแก้ไขได้โดยการศัลยกรรมต่าง ๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงศัลยกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง ด้วยการปลูกผม FUT ซึ่งเป็นการศัลยกรรมเพื่อแก้ปัญหาผมร่วง ผมบางหรือศรีษะล้านได้เป็นอย่างดี ศัลยกรรมปลูกผม FUT เป็นวิธีการปลูกผมถาวรที่ให้ประสิทธิภาพดี เนื่องจากเป็นการย้ายเซลล์รากผมที่แข็งแรง ไปปลูกบริเวณที่มีอาการผมร่วงเยอะ ๆ ซึ่งผมที่งอกขึ้นมาใหม่นั้นจะหนาขึ้นและเรียงตัวสวยดูเป็นธรรมชาติ
สำหรับบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับการปลูกผม FUT คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย และวิธีการเตรียมตัวสำหรับคนที่ต้องการปลูกผม FUT รวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้ให้คุณแล้ว
ปลูกผม FUT คือ
ปลูกผม FUT หรือ Follicular Unit Hair Transplant เป็นศัลยกรรมผมอย่างหนึ่งที่ใช้ในการปลูกผมถาวร โดยการเก็บรากผมที่มีผมอยู่หนาแน่นและแข็งแรง เช่น บริเวณท้ายทอยและขมับ จากนั้นย้ายมาปลูกบริเวณที่ต้องการให้เกิดผมใหม่ หรือบริเวณที่เป็นปัญหาผมร่วงผมบาง พบได้ทั่วไปที่บริเวณด้าบบนหรือด้านหน้าของศรีษะ
ซึ่งการปลูกผม FUT แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการเก็บรากผมออกมาเพื่อทำการแบ่งเซลล์ โดยไปปลูกไว้ที่บริเวณที่กำหนด จากนั้นหลังการศัลยกรรมชุดผมที่ปลูกใหม่บริเวณที่กำหนดอาจมีการร่วงไปตามธรรมชาติ แต่ผมที่ร่วงนั้นจะไม่มีเซลล์รากผมติดไปด้วย หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ขึ้นจนเต็มบริเวณที่ทำการปลูกผม โดยใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน แต่รับรองได้ว่าเส้นผมที่เกิดใหม่นั้นจะมีความแข็งแรง ถึงแม้ว่าจะมีหลุดร่วงออกมาบ้างตามธรรมชาติ แต่ก็สามารถที่จะงอกออกมาใหม่ได้ ซึ่งคุณสามารถที่จะหวี สระ ย้อม ดัด หรือตกแต่งทรงผมได้ปกติ
การปลูกผม FUT จะได้ผมที่งอกออกมาใหม่จำนวนเยอะขึ้นอย่างถาวร เนื่องจากการย้ายรากผมที่แข็งแรงไปปลูกในตำแหน่งใหม่ที่มากถึงพันรากขึ้นไป ทำให้ผมที่งอกออกมาใหม่นั้นเยอะขึ้น ผมหนา และดกดำ
ข้อดีและข้อจำกัดของการปลูกผม FUT
การศัลยกรรมปลูกผมในปัจจุบันนั้นมีหลายวิธีซึ่งก็แตกต่างกันไปตามแนวทางการรักษา สำหรับการปลูกผม FUT นั้นเป็นการปลูกผมที่แก้ปัญหาได้อย่างถาวร โดยการย้ายเซลล์รากผมบริเวณที่แข็งแรงไปปลูกใหม่ยังบริเวณที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งการปลูกผม FUT ก็จะมีข้อดีและข้อจำกัดในการทำดังต่อไป ซึ่งคุณสามารถพิจารณาเพื่อเลือกวิธีการปลูกผมที่เหมาะกับคุณได้
ข้อดีของการปลูกผม FUT
ข้อดีของการปลูกผม FUT
- จุดเด่นของการปลูกผม FUT คือผลลัพธ์ที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ โดยเส้นผมใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากการปลูกนั้น จะงอกขึ้นใหม่ตามธรรมชาติ ผมดูเต็มเหมือนเส้นผมที่ขึ้นตามปกติ อีกทั้งเส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่นั้นยังแข็งแรงอีกด้วย
- การปลูกผม FUT นั้นให้ประสิทธิภาพสูง เนื่องจากรากผมที่นำมาปลูกนั้นมาจากรากผมที่แข็งแรงและมีการเลือกอย่างประณีต ซึ่งทำให้โอกาสในการปลูกผมติดมากขึ้น
- การปลูกผม FUT มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการปลูกผมถาวรโดยการผ่าตัดแบบอื่น
- การปลูกผม FUT เสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยมาก เนื่องจากแผลหลังผ่าตัดจะเป็นแผลเย็บปิด ซึ่งจะทำให้ลดการสัมผัสกับอากาศได้ ทำให้มีความเสี่ยงน้อยในการติดเชื้อนั้นเอง
ข้อจำกัดของการปลูกผม FUT
ถึงแม้จะมีข้อดีสำหรับการปลูกผม FUT แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างสำหรับการปลูกผม FUT โดยข้อจำกัดนั้นมีดังนี้
- เนื่องจากการปลูกผม FUT เป็นการตัดผิวหนังบางส่วนออกไป และเมื่อเย็บผิวหนังที่เหลือติดกันจะทำให้หนังศรีษะตึง จึงไม่เหมาะกับคนที่มีศรีษะตึงอยู่แล้ว หรือผู้ที่มีหนังศรีษะตึงอยู่เป็นทุนเดิมอาจไม่เหมาะกับการปลูกผม FUT
- การปลูกผม FUT คุณจำเป็นต้องตัดผมบริเวณที่เลือกเป็นเซลล์รากผมที่จะต้องนำไปปลูกบริเวณที่มีปัญหา
สำหรับการปลูกผม FUT นั้น มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดในการทำ ซึ่งคุณสามารถพิจาณาตามความเหมาะสมของตนเองได้เลย ทั้งนี้ก่อนการตัดสินใจทำคุณควรพิจารณาและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดีเสียก่อน
ปลูกผม FUE ต่างกับปลูกผม FUT อย่างไร
ปัจจุบันมีการศัลยกรรมเกี่ยวกับการปลูกผมมากมาย อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพที่ดีอีกด้วย แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดและความเหมาะสมบ้างอย่าง ที่จะเป็นข้อยกเว้นในบางกรณี วันนี้เราจึงได้ยกตัวอย่างสำหรับข้อแตกต่างระหว่างการปลูกผม FUT และ FUE นั้น มีดังนี้
- การปลูกผม FUE ไม่ต้องตัดหนังศรีษะ แต่การปลูกผม FUT นั้นต้องทำการตัดหนังศรีษะเพื่อนำไปปลูกผมที่ใหม่
- การปลูกผม FUE ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นเนื่องจากไม่ได้มีการผ่าตัด
- การปลูกผม FUT จะมีประสิทธิภาพในการรักษาการปลูกผมบริเวณใหญ่ ๆ ได้ แต่การปลูกผม FUE นั้นเหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปลูกผมบริเวณน้อย ๆ
ความแตกต่างของการปลูกผม FUT และ FUE นั้นมีความแตกต่างกันไป ซึ่งคุณสามารถพิจารณาได้ว่าคุณเหมาะกับการทำแนวทางไหน ทั้งนี้คุณควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษาและคำแนะนำเพิ่มเติม
วิธีเตรียมตัวสำหรับปลูกผม FUT
เมื่อคุณพิจารณาหรือได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า คุณสามารถที่จะทำการปลูกผม FUT ได้ สิ่งต่อมาที่คุณควรต้องทำคือ การเตรียมตัวก่อนปลูกผม FUT ซึ่งวิธีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการเข้ารักษาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้การรักษานั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และหากมีข้อแนะนำจากแพทย์แล้ว คุณควรที่จะปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด โดยสิ่งที่คุณต้องเตรียมนั้น มีดังนี้
- คุณต้องแจ้งการแพ้ยาต่าง ๆ หรือปัจจุบันคุณทานยาอะไรเป็นประจำ ทั้งหมดนี้คุณควรแจ้งให้แพทย์ได้ทราบ เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลต่อการผ่าตัดในการปลูกผม FUT
- 1 สัปดาห์ก่อนที่คุณจะเข้ารับการปลูกผม FUTหรือการผ่าตัด ควรงดรับประทานยาประเภทแอสไพริน เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan และ Vitamin E เพราะสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างการผ่าตัดปลูกผม
- 1 วันก่อนการปลูกผมหากคุณมีอาการไม่สบาย เป็นไข้ ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการผ่าตัด งดสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ในวันเข้าพาตัดคุณควรนำผู้ดูแลมาด้วย เนื่องจากการผ่าตัดต้องใช้ยาสลบ และไม่ควรที่จะขับรถกลับคนเดียว
- ในวันที่ผ่าตัดคุณควรงดชาหรือกาแฟก่อนเข้าการปลูกผม FUT
วิธีปลูกผม FUT
หลักการทำงานของการปลูกผม FUT คือการย้ายเซลล์รากผมที่แข็งแรงไปยังบริเวณใหม่ ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง เพื่อการปลูกผมใหม่ให้ดูเป็นธรรมชาติ โดยวิธีการปลูกผม FUT มีดังนี้
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะตัดหนังศรีษะเพื่อเอาเซลล์รากผมที่แข็งแรงออกมา จากนั้นนำเซลล์รากผมแยกออกจากเนื้อเยื่อรอบ ๆ เพื่อรอการปลูกถ่าย
- จากนั้นทำการย้ายเซลล์รากที่มีความแข็งแรงไปยังบริเวณใหม่ ที่ต้องการปลูกผมใหม่ขึ้นมา หรือบริเวณที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง เป็นต้น
- เมื่อเซลล์รากผมที่ย้ายเข้ามายังบริเวณยึดติดกับเนื้อเยื่อรอบ ๆ แล้ว มันจะทำหน้าที่สร้างเส้นผม ทำให้มีเส้นผมงอกขึ้นมาใหม่
สำหรับการปลูกผม FUT คุณควรทำตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นของการผ่าตัด อีกทั้งติดตามคำแนะนำการดูแลหลังการผ่าตัดเพื่อให้การฟื้นตัวนั้นเป็นไปอย่างปลอดภัยและถูกต้อง
ผลข้างเคียงจากการปลูกผมแบบ FUT
การปลูกผม FUT นั้นจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น โดยแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนใหญ่นั้นผลข้างเคียงสามารถเกิดขึ้นได้ชั่วคราวและสามารถหายได้หลังการฟื้นตัว โดยผลข้างเคียงของการปลูกผม FUT นั้นมีดังนี้
- อาการบวมและฟกช้ำบริเวณแผลที่ทำการผ่าตัด ซึ่งสามารถหากเองได้ในระยะเวลาไม่กี่วันหรือสัปดาห์
- อาการปวด ในบางกรณีคุณอาจมีอาการปวดบริเวณที่มีการผ่าตัด
- รอยแผลเป็น แน่นอนว่าการปลูกผม FUT นั้น จะต้องมีการตัดหนังศรีษะออก ทำให้จะเกิดเป็นรอยแผลเป็นขึ้นมา
- เกิดการระคายเคลืองหรือแผลอาจเกิดการติดเชื้อ ซึ่งหากคุณดูแลแผลอย่างถูกต้องจะช่วยลดอาการที่จะเกิดขึ้นได้
- เส้นผมบริเวณที่ทำการปลูกอาจมีความไม่สม่ำเสมอกับบริเวณอื่น เช่นบริเวณที่ทำการปลูกอาจมีผมที่บางหรือหนากว่าบริเวณอื่นได้
การดูแลตัวเองหลังปลูกผม FUT
หลังจากที่คุณปลูกผม FUT เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการดูแลตัวเอง ซึ่งสำคัญอย่างมากที่คุณจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อที่จะรักษาแผลหลังผ่าตัดให้หายโดยเร็วที่สุด โดยวิธีการดูแลตัวเองหลังหลังการปลูกผม FUT นั้นมีดังนี้
- การดูแลทำความสะอาด โดย 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดคุณสามารถสระผมได้โดยขั้นตอนการสระผมนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นคนแนะนำให้กับคุณเอง โดยคุณนั้นต้องไม่หวีผม หรือสระแรงจนเกินไป ไม่ควรแกะหรือถูบริเวณที่เป็นแผล หลังจาก 1 เดือนไปแล้วคุณก็สามารถที่จะกลับมาสระผมได้อย่างปกติ และสามารถทำสีผมได้
- ระมัดระวังไม่ให้ศรีษะได้รับความกระทบกระเทือน
- อุณหภูมิที่ร้อนจะส่งผลต่อรากผมที่ปลูกใหม่ของคุณ ดังนั้นคุณควรที่จะหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดในช่วงสัปดาห์แรก
- งดออกกำลังกายอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังปลูกผม
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการบวมและเลือดออก
ปลูกผม FUT ใช้ระยะเวลาเท่าไร
การปลูกผม FUT ใช้เวลาในการปลูกประมาณ 4-8 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของผมที่คุณต้องการปลูก และเมื่อทำการปลูกผมเสร็จแล้ว ผมที่ถูกปลูกขึ้นมาใหม่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการงอกออกมา และเส้นผมจะแข็งแรงขึ้นในระยะเวลาประมาณ 6-12 เดือน
สรุปปลูกผมแบบ FUT
ศัลยกรรมการปลูกผม FUT เป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาผมร่วง ผมบางและศรีษะล้านได้ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพที่ดีอีกด้วย โดยการปลูกผม FUT นั้นจะเป็นการย้ายรากเซลล์ที่แข็งแรกไปปลูกใหม่บริเวณที่เกิดปัญหาต่าง ๆ หรือบริเวณที่รากผมไม่แข็งแรงนั้นเอง ซึ่งหลังการปลูกผมก็จะเริ่มงอกออกมาตามธรรมชาติ โดยอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน หรือ 1 ปี คุณก็จะได้เส้นผมที่แข็งแรงและหนาดูเป็นธรรมชาติ