วิตามินบำรุงตับ
นอกจากอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงตับให้แข็งแรงแล้ว “วิตามินบำรุงตับ” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับให้ดีขึ้นอีกด้วยเช่นกัน เพราะการทานอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่มีวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอ และสารอาหารบางอย่างร่างกายก็ไม่สามารถผลิตเองได้ หลายคนจึงเลือกหาตัวช่วยเสริมอย่างพวกวิตามินบำรุงตับมาช่วยอีกแรง
และสำหรับใครที่กำลังมองหาวิตามินบำรุงตับยี่ห้อไหนดี ในบทความนี้เราได้รวบรวมวิตามินบำรุงตับถึง 10 ยี่ห้อด้วยกัน แต่ก่อนที่เราจะรู้ว่ามียี่ห้อไหนเข้าลิสต์บ้าง เบื้องต้นเราไปดูความสำคัญของตับกันก่อนว่าตับมีความสำคัญอย่างไร? ทำไมเราถึงต้องใส่ใจ และดูแลตับให้แข็งแรงอยู่เสมอ และถ้าหากตับอ่อนแอ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราบ้าง ไปดูกันเลย
เลือกหัวข้ออ่านเกี่ยวกับการดูแลตับ
ความสำคัญของตับ
ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายและมีความสำคัญมากเช่นกัน ตับมีน้ำหนักประมาณ 2.5% ของน้ำหนักตัว และเป็นอวัยวะที่มีเลือดมาเลี้ยงมากถึง 1500 cc./นาที หรือ 1 ใน 4 ของเลือดที่ออกจากหัวใจ จึงทำให้ตับต้องคอยทำหน้าที่หลายอย่างที่อวัยวะอื่นไม่สามารถทำแทนได้อย่างเช่น
กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย
ตับมีหน้าที่ควบคุมร่างกายให้มีความสมดุล หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือร่างกายก็เหมือนบ้าน และตับก็เปรียบเสมือนประตูบ้าน หากมีสิ่งแปลกปลอมมาเยือน และมาทำให้บ้านของเราเสียความสมดุล ตับก็จะคอยกรองสิ่งแปลกปลอมและคอยกำจัดของเสียนั่นไป พูดง่ายๆ คือปิดประตูใส่ ไล่ของเสียออกไป
ของเสียหรือสารพิษที่มาเยือนบ้านของเราบ่อยคือท็อกซิน ที่เกิดจากการเผาผลาญแอลกอฮอล์ รวมไปถึงยาบางชนิด เชื้อโรคต่างๆ ที่อาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ อย่างตับแข็ง ไวรัสตับอักเสบเอ,บี ภาวะดีซ่าน ภาวะธาตุเหล็กเกิน มะเร็งตับนั่นเอง
เป็นแหล่งสะสมเสบียงไว้ใช้ในยามจำเป็น
หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของตับคือ เป็นแหล่งสะสมพลังงานชั้นดีที่ให้ร่างกายดึงออกมาใช้ในยามจำเป็น และพลังงานที่ว่าคือสารอาหารจำพวกธาตุเหล็ก ไกลโคเจน วิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี12 วิตามินดี อีกทั้งยังเป็นแหล่งเก็บพลังงานที่มาในรูปแบบของแป้ง ที่นำ Glycogen มาสลายเป็นพลังงานให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี
สร้างน้ำดีในการย่อยไขมัน
ตับจะคอยทำหน้าที่ผลิตน้ำดีที่ช่วยย่อยสลายอาหารประเภทไขมันเป็นหลัก ตับจะลำเลียงน้ำดีเหล่านี้ไปถุงน้ำดีที่อยู่ติดกับลำไส้เล็ก เมื่อเราทานอาหารประเภทไขมันเข้าไป ถุงน้ำดีจะบีบตัวและขับน้ำดีลงไปย่อยไขมันในลำไส้
สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ หรือตับทำงานไม่ดีจะเกตว่าเมื่อทานอาหารประเภทไขมันเข้าไปจะมีอาการท้องอืด ซึ่งถ้าหากตับไม่ขับน้ำดีออกมา วิตามินต่างๆ ที่ต้องดูดซึมด้วยไขมันก็จะมีปริมาณต่ำลงจนไม่เพียงให้ร่างกายดึงพลังงานไปใช้
วิตามินช่วยบำรุงตับ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าวิตามินบำรุงตับสามารถช่วยเสริมการทำงานของตับให้ดีขึ้น เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปอาจมีวิตามินหรือแร่ธาตุที่ไม่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินบำรุงตับที่หลายคนนิยมทานและมีประโยชน์ต่อการทำงานของตับมีดังนี้
1. วิตามินดี
จากงานวิจัยของ University of Tennessee พบว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับมักมีอาการขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง ซึ่งวิตามินดีมีบทบาทและมีความสำคัญต่อตับคือสร้างอินซูลินที่ตับอ่อน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย และช่วยสร้างภูมิต้านทาน ทำให้เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมได้ดี
แหล่งอาหารที่เราสามารถหาวิตามินดีได้ เช่น วิตามินดีจากเนื้อปลา รวมไปถึงนม ไข่ และธัญพืชต่าง ๆ เช่น ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง เป็นต้น
2. วิตามินเอและธาตุเหล็ก
ประโยชน์ของวิตามินเอช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างเนื้อเยื่อชั้นนอกของอวัยวะต่าง ๆ ให้มีสุขภาพดีขึ้น ส่วนประโยชน์ของธาตุเหล็กคือ ช่วยรักษาภาวะโลหิตจาง ป้องกันอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย
จากผลการศึกษาและงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการระดับนานาชาติฉบับปี 2000 ระบุว่า หากร่างกายได้รับวิตามินเอคู่กับธาตุเหล็กในระดับที่เหมาะสม จะมีส่วนช่วยในการรักษาและป้องกัน เกี่ยวกับโรคโลหิตจาง หรือภาวะขาดธาตุเหล็ก ได้ดีกว่าการรับประทานธาตุเหล็กหรือวิตามินเอเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการอาหารเสริมธาตุสำหรับการบำรุงเลือด ผมขอแนะนำให้อ่าน รีวิว 10 อาหารเสริมบำรุงเลือด ยี่ห้อไหนดีที่สุด
แหล่งอาหารที่เราสามารถหาวิตามินเอและธาตุเหล็กได้คือ ตับ เนื้อแดง ธัญพืช ผักใบเขียว และถั่วเมล็ดแห้ง แต่สำหรับคนที่เป็นผู้ป่วยเกี่ยวกับตับ วิตามินอี ถือว่ามีความสำคัญ
3. วิตามินอี
วิตามินบำรุงตับอย่างวิตามินอี ถือว่ามีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคตับเป็นอย่างมาก เพราะเป็นวิตามินที่สามารถละลายในไขมันได้ดี และเป็นวิตามินที่ช่วยกำจัดไขมันชนิดร้ายออกจากร่างกาย ช่วยลดการเกิดภาวะไขมันพอกตับได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด และต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดภาะวะอักเสบได้เป็นอย่างดี
เราสามารถมองหาแหล่งวิตามินอีได้จากอาหารหลายอย่างเช่น อาหารจำพวกถั่ว ไข่ พืช ผัก ผลไม้ รวมไปถึงน้ำมันที่มีส่วนผสมของถั่ว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันคาโนล่า เป็นต้น
4. วิตามินซี
วิตามินซี เป็นวิตามินที่ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ และเรามักจะรู้จักวิตามินในฐานะตัวช่วยป้องอาการไข้หวัด แต่ประโยชน์ของวิตามินซี มีมากกว่านั้น คือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นหนึ่งในวิตามินช่วยบำรุงผม ที่ช่วยทำให้รากผมแข็งแรง บำรุงสุขภาพเพศชาย เป็นชนิดวิตามินตัวหนึ่งที่มักอยู่ในอาหารเสริมผู้ชาย
สำหรับแหล่งอาหารที่เราสามารถหาวิตามินซีได้คือ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ หรือในผัก เช่น บลอคเคอรี่ พริกหวาน เป็นต้น
5. ขมิ้นชัน
พืชสมุนไพรของไทยที่หาได้ง่ายอย่างขมิ้นชัน ก็ถือว่าเป็นวิตามินบำรุงตับได้เป็นอย่างดี เพราะขมิ้นชันจะช่วยขับสารพิษที่สะสมในตับ ป้องกันตับอักเสบ และฟื้นฟูตับจากการถูกทำลายจากสารเคมีที่ได้จากยาต่าง ๆ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการช่วยขับน้ำดี บรรเทาอาการนิ่วในถุงน้ำดีได้
6. กระเทียม
กระเทียมมีสารอัลลิซินและซีลีเนียมที่ช่วยดีท็อกซ์สารพิษในตับ และช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตเอนไซม์ที่ช่วยขับสารพิษออกไป นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลในร่างกาย และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน
7. มะขามป้อม
มะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันการเกิดพิษโลหะหนักในตับ และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มะขามป้อมยังมีแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างราย เช่น ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 3 จึงนับว่าเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี
8. สมอพิเภก
สมอพิเภก เป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ทั้งผล ราก และดอก สมอพิเภกผลแก่จะมีรสฝาด นิยมนำมาใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ผลอ่อนจะมีรสเปรี้ยว ช่วยรักษาอาการไข้ ไอ ขับเสมหะ ส่วนรากจะนิยมมาต้มเพื่อขับสารพิษ และจากผลการวิจัยจากเภสัชวิทยาให้ข้อมูลว่าสมอพิเภก มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยเร่งการสร้างน้ำดี รักษาภาวะดีซ่าน
9. เลซิติน
เลซิตินจัดเป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ในพืชและสัตว์ เช่น อาหารจำพวกถั่ว ธัชพืช ถั่วเหลือง ถั่วลิสงข้าวโพด เมล็ดฝ้าย ในผักชนิดมีหัว เช่น กะหล่ำดอก แครอท กะหล่ำปลี ในเนื้อสัตว์ รวมทั้งไข่แดง นม เนย ในผลทางวิจัยระบุว่าเลซิตินสามารถช่วยให้ลำไส้ลดการดูดซึมไขมัน ทำให้ระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้ ที่สำคัญคือช่วยลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีและเสริมสร้างการทำงานของตับ ลดการสะสมของไขมันที่ตับหรือภาวะไขมันพอกตับ
อีกทั้งเลซิตินยังมีสารประกอบอีกชนิดหนึ่งที่สำคัญคือ โคลีน ที่จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญของสมองคือ Acetylcholine หากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน ก็สามารถช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้
10 วิตามินบำรุงตับ อาหารเสริมบำรุงตับ ยี่ห้อไหนดี
การเลือกหาวิตามินบำรุงตับ หรืออาหารเสริมบำรุงตับยี่ห้อไหนดี ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากอยู่มาก เพราะปัจจุบันมีวิตามินบำรุงตับที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีหลายยี่ห้อ และแต่ละยี่ห้อก็จะบอกส่วนผสม และ สรรพคุณที่ต่างกันออกไป
สำหรับใครที่สนใจหาอาหารเสริม หรือวิตามินบำรุงตับ วันนี้เราได้รวบรวม10 วิตามินบำรุงตับ อาหารเสริมบำรุงตับมาให้ถึงที่ จะมียี่ห้อไหนบ้าง ไปดูกันเลย
1. วิตามิน บำรุงตับ OMG Vitaliv
วิตามินบำรุงตับ OMG Vitaliv เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับการวิจัยและได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ในระดับสากล สรรพคุณเด่นของวิตามินบำรุงตับ OMG Vitaliv ที่ทางแบรนด์ได้ชูโรงไว้ก็คือมีแอล-คาร์นิทีนที่ช่วยฟื้นฟูและเสริมการทำงานของตับให้ดีขึ้น มีสารสกัดจากใบชาเขียน ที่ช่วยลดการสะสมไขมัน และไขมันพอกตับได้เป็นอย่างดี และยังมีจินเซนโนไซด์ (Ginsenosides) โสมเกาหลี ที่ช่วยรักษาความผิดปกติของตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ
นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังเคลมอีกว่า วิตามินบำรุงตับ OMG Vitaliv เป็นแบรนด์ที่รวมสารอาหารจากธรรมชาติ กว่า 34 ชนิด ที่จำเป็นต่อตับ และประสิทธิภาพการกำจัดสารพิษของตับ ให้ทำงานได้ดีขึ้น
2. Hepheka เฮฟฟีก้า อาหารเสริมบำรุงตับ
Hepheka เป็นอีกหนึ่งในอาหารเสริมบำรุงตับที่ได้รับความนิยม และได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์และทดลองในกลุ่มผู้ใช้จริง Hepheka เป็นวิตามินบำรุงตับที่มีสารสกัดจากพรูนัส มูเม่ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นซุปเปอร์ฟรุต-ผลไม้ทรงพลังของเอเชีย ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงและฟื้นฟูตับ
นอกจากนี้ Hepheka ยังใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเฮฟฟีก้า ที่ทำให้สามารถสกัดสารออกฤทธิ์อันทรงคุณประโยชน์ 2 กลุ่ม ได้แก่ Chlorogenic Acid ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเลือด ยับยั้งการเกิดมะเร็ง และ Oleanolic Acid & Ursolic Acid ที่มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบของเซลล์ตับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟู บำรุง ช่วยเสริมสร้างการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพ
3. เลซิติน กิฟฟารีน lecithin
อีกหนึ่งวิตามินบำรุงตับยี่ห้อไหนดีที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ เลซิติน กิฟฟารีน lecithin ที่มีส่วนผสมชูโรงอย่างแคโรทีนอยด์ จากธรรมชาติถึง 4 ชนิด ได้แก่ แอฟา แคโรทีน,เบต้า แคโรทีน ,แกมม่า แคโรทีน และไลโคปีน นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของวิตามินอี ที่จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของแคโรทีนอยด์ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
และทางแบรนด์ยังได้ใส่ส่วนผสมสำคัญอย่างเลซิตินที่มีคุณสมบัติเข้ากันได้ดีกับน้ำและน้ำมัน ช่วยในการทำลายโคเลสเตอรอลในเลือดให้แตกตัว ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับ และลดการสะสมของไขมันหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี
4. Puritan’s Pride Milk Thistle Extract
Puritan’s Pride Milk Thistle Extract เป็นวิตามินบำรุงตับ ที่มีสาร flavanolignans เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่ง flavanolignans จะมีสรรพคุณที่ช่วยปกป้องตับจากสารพิษและช่วยเพิ่มเพิ่มปริมาณ Glutathione ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อช่วยขจัดสารพิษ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และ Puritan’s Pride Milk Thistle Extract ยังทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในตับ
5. วิตามินบำรุงตับ Himalaya Liv.52 DS
Himalaya Liv.52 DS เป็นวิตามินบำรุงตับที่ทำจากสมุนไพร และผ่านมาตรฐาน อย. จากหลายประเทศทั่วโลกว่าปลอดภัย 100 % โดยผลิตภัณฑ์บำรุงตับตัวนี้ประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ The Caper Bush ที่มีสาร p-methoxy benzoic acid มีคุณสมบัติคือช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพ และสมบูรณ์มากขึ้น และมี Chicory ที่ช่วยปกป้องตับจากสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่าง ๆ โดยเฉพาะจากแอลกอฮอล์
Himalaya Liv.52 DS เหมาะสำหรับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ กินอาหารไขมันสูงบ่อยๆ หรือคนที่ต้องกินยาป็นประจำ วิตามินบำรุงตับ Himalaya Liv.52 DS จะทำหน้าที่ล้างสารพิษจากการบริโภคอาหาร หรือยาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อตับ หรือผู้ที่มีภาวะเบื่ออาหารก็ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารและช่วยเรื่องการดูดซึมสารอาหารในร่างกายอีกด้วย
6. VISTRA Livotox บำรุงตับ
LivPlus (ลิฟพลัส) เป็นวิตามินบำรุงตับที่มีสารสกัดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารสกัดจากอาร์ติโชค ทีมีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อตับ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับในการกำจัดของเสียให้ดียิ่งขึ้น อีักทั้งยังมีสารสกัดจากแดนดิไลออน ที่ช่วยในการสร้างน้ำดี และเพิ่มการไหลเวียนของน้ำดี และอีกมากมาย เช่น กลูต้าไธโอน, ซิงค์ , วิตามินบี 1,2,3,6,12 ไนอะซินที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
7. วิตามินบำรุงตับ Mega We Care D-Toxi
วิตามินบำรุงตับ Mega We Care D-Toxi ประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างบริวเวอร์ยีสต์ที่ช่วยเสริมสร้างระบบการทำงานของตับ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีแอล-เมโธไอนีน ที่เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ มีหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระ พร้อมช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
จุดเด่นของวิตามินบำรุงตับ Mega We Care D-Toxi คือเหมาะสำหรับคนที่ต้องการดีทอกซ์ ล้างสารพิษ ฟื้นฟู และบำรุงเซลล์ตับ ทำหน้าที่จับโลหะหนักที่เป็นพิษต่อตับได้ดี ช่วยลดการทำลายเนื้อตับจากการรับประทานยาต่างๆ หลายชนิด อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณหมองคล้ำ มีริ้วรอย ให้กลับมาสดใสขึ้นด้วย
8. วิตามินบำรุงตับ แอมเวย์ NUTRILITE Milk Thistle and Dandelion Plus
วิตามินบำรุงตับ แอมเวย์ NUTRILITE Milk Thistle and Dandelion Plus เป็นวิตามินบำรุงตับที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ 100% เช่น แดนดิไลออน, Milk Thistle, ขมิ้น วิตามินบำรุงตับยี่ห้อนี้มีสรรพคุณคือป้องกันตับ จากการทำเคมีบำบัดในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นและเร่งขับสารพิษตกค้างในร่างกายช่วยรักษาและป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี เพิ่มการไหลเวียนน้ำดีจากตับผ่านถุงน้ำดีเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ เพื่อย่อยไขมัน และช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน โดยลดอาการอักเสบของเซลล์ผิวหนังได้อีกด้วย
9. วิตามินบำรุงตับ แบล็คมอร์ Blackmores Milk Thistle
วิตามินบำรุงตับ แบล็คมอร์ Blackmores Milk Thistle เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยล้างพิษและฟื้นฟูเซลล์ตับ วิตามินบำรุงตับ จะมีส่วนผสมสำคัญอย่างMilk Thistle หรือ St Mary’s Thistle เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน นิยมนำก้านและใบมาสกัดเป็นยา และจะใช้เมล็ดในการรักษาอาการดีซ่าน อาการผิดปกติของตับและน้ำดี ตับอักเสบและโรคริดสีดวงทวาร
จุดเด่นของวิตามินบำรุงตับ แบล็คมอร์ Blackmores Milk Thistle คือสามารถช่วยฟื้นฟูตับจากความเสียหายที่เกิดจากพิษที่สะสมในตับที่เราได้รับในชีวิตประจำวัน และช่วยกำจัดไขมันออกจากระบบทางเดินอาหาร และปรับให้ตับและถุงน้ำดีทำการกำจัดไขมันตกค้างได้ดียิ่งขึ้น
10. วิตามินบำรุงตับ Auswelllife Liver Tonic
วิตามินบำรุงตับ Auswelllife Liver Tonic เป็นอีกหนึ่งในวิตามินบำรุงตับยี่ห้อไหนดีที่ได้รับความนิยม ด้วยคุณสมบัติเด่นของผลิตภัณฑ์ คือ ช่วยทำความสะอาดตับให้ปราศจากสารพิษตกค้าง เมื่อตับสะอาดร่างกายจะดูดซึมวิตามินได้ดีขึ้น ส่งผลให้ตับมีสุขภาพดี และช่วยลดการสะสมของไขมันในตับ เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
การดูแลรักษาตับ
การดูแลรักษาตับให้แข็งแรงอยู่เสมอ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อตับของเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลให้ระบบอื่นๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีไปด้วยเช่นกัน สำหรับเคล็ดลับในการดูแลตับอย่างไรให้แข็งแรงอยู่เสมอ วันนี้เราได้นำข้อมูลมาเสิร์ฟให้คุณถึงที่นี่ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ถือว่าเป็นข้อเบสิคอันดับต้นๆ ในการดูแลสุขภาพ และเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่าย เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งไฟเบอร์ อย่างข้าวกล้อง ธัญพืช ผลไม้ เพราะอาหารที่มีไฟเบอร์สูงจะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ลดปัญหาท้องผูกเรื้อรังที่เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
อีกทั้งยังช่วยลดอัตราเสี่ยงจากไขมันอุดตันหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และแน่นอนว่าอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยลดภาระให้ตับ ไม่ให้ตับทำงานหนักจนเกินไป อย่างการขับไล่ของเสีย หรือสารพิษที่มาเยือนถึงหน้าประตูบ้านนั่นเอง
2. เลือกทานในสัดส่วนที่พอเหมาะ
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าทานมากไปจนเกินความจำเป็นก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน เพราะการเริ่มต้นสุขภาพที่ดี คือการได้รับปริมาณสารอาหารที่เพียงพอต่อวันคือ 2:1:1 ประกอบไปด้วย ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และเนื้อสัตว์อีก 1 ส่วน
ประเภทของผักที่ส่งผลต่อการทำงานของตับคือ ผักจำพวกหัว เช่น กะหล่ำปลี เพราะในกะหล่ำปลีจะช่วยเพิ่มกลูต้าไธโอนในร่างกาย ทำให้ล้างสารพิษ บำรุงตับได้เป็นอย่างดี หรือในแครอทที่มีวิตามินหลายชนิดเช่น กรดโฟลิกฟอสฟอรัส วิตามิน A, B1, B2, C, D ธาตุเหล็ก สังกะสี และทองแดง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ถือว่าเป็นมิตรต่อตับ ช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้น
3. ลดอาหารหวาน มัน เค็ม
อาหารที่มีรสจัดอย่างรสหวานจัด เค็มจัด และอาหารจำพวกของมัน ของทอด ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกาย ที่สำคัญคือตับของเราทำงานหนักขึ้น อย่างน้ำตาลจะเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียเจริญเติบโตในลำไส้ก็นำไปสู่อาการตับอักเสบได้
4. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
หากมีน้ำหนักที่เกินเกณฑ์ ไม่ได้ก่อให้เกิดแค่โรคอ้วนเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งอีกหลายๆ โรค หนึ่งในนั้นคือโรคไขมันพอกตับ ดังนั้นการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม คือมีดัชนีมวลกายอยู่ที่ 18.5-22.9 กก/ตร.ม.
แต่ถ้าหากมีดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก./ตร.ม. แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์อ้วน วิธีแก้คือควรรรักษาด้วยการลดน้ำหนักอย่างน้อย 5-10% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถช่วยลดภาาวะอ้วนที่อาจนำมาซึ่งการสะสมของไขมันที่ตับได้
5. เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือศัตรูอันดับหนึ่งของตับ เมื่อดื่มเป็นประจำ หรือเกินปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันก็จะทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ นอกจากนี้พิษของแอลกอฮอล์ยังส่งผลต่อระบบประสาทส่วนปลาย ทำให้มีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า และส่งผลต่อระบบหัวใจ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจทำงานผิดปกติ
สำหรับปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างก่ายคือ ผู้ชายควรดื่มไม่เกิน 2 หน่วย และผู้หญิงไม่เกิน 1 หน่วยบริโภคต่อวัน หากจะจำแนกตามประเภทของเครื่องดื่ม สามารถจำได้ได้ดังนี้
- เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 5% = 360 มิลลิลิตร
- ไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ 12% = 150 มิลลิลิตร
- สุราที่มีแอลกอฮอล์ 40% = 45 มิลลิลิตร
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายสามารถช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินได้เป็นอย่างดี จึงช่วยลดไขมันในตับ และสามารถลดแรงกดทับที่ตับลงได้ นอกจากนี้การออกกำลังยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีผลดีในการต้านมะเร็งตับ และช่วยเพิ่มกระแสเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงตับ ช่วยป้องกันตับจากการสูญเสียเนื้อเยื่อได้
การออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับ ได้แก่ วิ่ง แอโรบิก การว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญไขมัน
7. ทานวิตามินบำรุงตับ
แน่นอนว่าอาหารบางอย่างไม่สามารถให้สารอาหารได้อย่างเพียงพอ และร่างกายก็ไม่สามารถสร้างวิตามิน หรือสารอาหารบางอย่างได้เอง ดังนั้นการเลือกทานวิตามินบำรุงตับจึงถือว่าเป็นตัวช่วยเสริมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย อย่าง วิตามินเอ ดี อี วิตามินบี12 วิตามินซี เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกทานวิตามินบำรุงตับควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ และเลือกทานอย่างเหมาะสม เพราะถ้าหากร่างกายได้รับวิตามินนี้มากเกินไป ก็จะส่งผลให้ตับทำงานหนักขึ้น
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ที่ได้รับจากวิตามินบำรุงตับ ไม่ต่างจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงไม่แปลกที่คนรักสุขภาพส่วนใหญ่จะเลือกวิตามินบำรุงตับมาเป็นตัวช่วยเสริม เพราะอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถให้สารอาหารที่เพียงต่อการทำงานของตับ และสารอาหารบางอย่างร่างกายก็ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ วิตามินบำรุงตับจึงถือว่าเป็นตัวช่วยอย่างดี
แต่อย่างไรก็ตามการทานวิตามินบำรุงตับ ก็ควรทำควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญคือไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือวิตามินบำรุงตับ ก็ควรเลือกรับประทานในสัดส่วนที่พอเหมาะกับปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะการได้รับสารอาหารที่พอเหมาะ และพอดี จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายมากที่สุด